![]() |
| นิชา และ เพลิน ตำแหน่งเซ็นเตอร์คู่ของ "ได้ (ด้าย) ไหม" |
สำหรับ "ได้ (ด้าย) ไหม" เป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่ (Original Song) ที่เป็นเพลงหลักในซิงเกิล (A-side) ลำดับที่ 3 ต่อจาก "มะลิ" และ "2565" โดยชื่อเพลง "ได้ (ด้าย) ไหม" เป็นการเล่นคำพ้องเสียงระหว่างคำว่า "ด้ายไหม" ซึ่งเป็นเส้นใยวัตถุดิบในการทำผ้าไหม รวมถึงงานประดิษฐ์และงานฝีมืออื่น ๆ กับคำว่า "ได้ไหม" ที่เป็นคำสำหรับใช้ในการร้องขอ เห็นชอบ หรือสอบถามความเป็นไปได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของสิ่งนั้น ๆ) ซึ่งความหมายของชื่อเพลงระบุเป็นคำถามว่า "ทำได้ไหม?" โดยเพลงนี้เล่าถึงการเดินทางของ "ตัวไหม" ที่เริ่มมาจากเส้นใยเล็ก ๆ เติบโตและถักทอด้วยความพยายาม จนมาเป็นผ้าไหมที่งดงาม สะท้อนการทำสิ่งที่ดูยากให้เป็นจริงได้ และสื่อถึงเป้าหมายที่ดูจะเหมือนยากลำบากแต่ก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้เพราะความเชื่อและการลงมือทำ
ส่วนทำนองของเพลงนี้เน้นจังหวะแนวเจ-ป็อป บีตแบบอิเล็กทรอนิกส์ (J-pop Beat Electronic) และเสียงสังเคราะห์ ผสมกับดนตรีล้านนา โดยได้นำส่วนหนึ่งของทำนองเพลง "ฟ้อนสาวไหม" เพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของชาวเหนือ และการเรียบเรียงเครื่องดนตรีทั้งดนตรีพื้นเมืองและดนตรีสากล ที่ซับซ้อนและงดงาม รวมถึงเสียงร้องที่สอดประสานกัน และท่าเต้นที่มีจังหวะพร้อมเพรียงและแปลกใหม่ ที่เหมือนดูละเอียดและยากกว่าเพลงไหน ๆ ทำให้ "ได้ (ด้าย) ไหม" เป็นบทเพลงที่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนและก็งดงามได้อย่างลงตัว
นอกจากตัวเพลงแล้ว CGM48 ยังมีความตั้งใจที่จะเสนออีกมิติหนึ่งของวัฒนธรรมล้านนา ที่อยากจะสืบสานมรดกของภาคเหนือมิให้สูญหาย ดังจะเห็นได้จากมิวสิกวิดีโอที่มีการทอผ้าไหมตามชื่อเพลงแล้ว เสื้อผ้า ตลอดจนการฟ้อนก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมที่ยังคงได้เห็น โดยมี ครูบัวเรียว รัตนมรีภรณฺ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน) พุทธศักราช 2559 มาสอนฟ้อนรำให้กับสมาชิกในมิวสิกวิดีโอดังกล่าว
ซิงเกิลที่ 10 "ได้ (ด้าย) ไหม" มีมิวสิกวิดีโอให้ชมแล้วที่ยูทูบ CGM48 หรือสามารถหาฟังได้ในทุกช่องทางสตรีมมิง

